‘โลกร้อน’ ใกล้สุดทาง ‘ไอพีซีซี’ ชี้หายนะ
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือไอพีซีซี (IPCC: The Intergovernmental Panel on Climate Change) ขององค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เพิ่งเผยแพร่รายงานเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปี 2021: ข้อมูลพื้นฐานวิทยาศาสตร์ที่เป็นรูปธรรม” ในส่วนที่ 3 หลังจากมีการเปิดเผยรายงาน 2 ส่วนแรกไปเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2021 และเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2022 ที่ผ่านมา รายงานฉบับนี้มีความยาวรวม 10,000 หน้า นับเป็นการประเมินภาวะโลกร้อนที่ครอบคลุมมากที่สุดในโลกที่ไอพีซีซีทำมาเป็นครั้งที่ 6 แล้วนับตั้งแต่ปี 1990 และครั้งนี้นับเป็นการส่งสัญญาณอันตรายที่เป็นจริงเป็นจังมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ไอพีซีซี เป็นองค์กรที่มีนักวิทยาศาสตร์หลายร้อยคนจากทั่วโลกร่วมกันประเมินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และเป็นการส่งคำเตือนให้มนุษยชาติหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้นจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นในอนาคต
รายงานใน “ส่วนแรก” ไอพีซีซีออกมาเตือนว่า เวลานี้โลกมี “สัญญาณอันตราย” ที่โลกจะร้อนเกินกว่าที่จะควบคุมได้ ก่อนที่ “ส่วนที่ 2” จะชี้ให้เห็นว่า โลกที่ร้อนขึ้นอาจส่งผลให้อารยธรรมมนุษย์ล่มสลายแบบไม่อาจหวนคืนกลับ และรายงาน “ส่วนที่ 3” นี้ ที่มีจำนวน 2,800 หน้า เป็นการบอกวิธีการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้โลกใบนี้ “สามารถอยู่อาศัยได้” ในอนาคต และเน้นย้ำว่าต้อง “เริ่มทำทันที” เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะ
รายงานฉบับนี้ของยูเอ็นยังเป็นรายงานอีกฉบับที่ตบหน้าบรรดาผู้นำประเทศและผู้นำธุรกิจ ที่เคยให้คำมั่นไว้อย่างตรงไปตรงมาด้วยเช่นกัน “ผู้นำรัฐบาลและผู้นำธุรกิจบางคนกำลังพูดอย่างทำอย่าง พูดง่ายๆ พวกเขากำลังโกหก และผลจากการกระทำนั้นคือหายนะใหญ่” อันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการยูเอ็น ระบุปัจจุบัน พื้นผิวโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่ายุคมิดเซนจูรี (mid-century) หรือยุคก่อนอุตสาหกรรม มาแล้ว 1.1 องศาเซลเซียส และโลกก็ตั้งเป้าที่จะจำกัดอุณหภูมิโลกไม่สูงเกินกว่า 2 องศา หรือหากเป็นไปได้ไม่เกิน 1.5 องศา ภายใต้ข้อตกลงปารีสในปี 2015 ที่ผ่านมา และแน่นอนว่า รายงาน “ส่วนที่ 3” ของไอพีซีซี ก็ได้ประเมินสถานะของโลกใบนี้ในปัจจุบันที่เป็นสัญญาณเตือนเอาไว้ และก็บอกวิธีที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จเอาไว้ด้วยเช่นกัน ไอพีซีซีระบุว่า เวลานี้หากโลกไม่สามารถจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากกว่าที่แต่ละประเทศประกาศเอาไว้ภายในปี 2030 นั่นหมายความว่า เป้าหมายไม่เกิน 1.5 องศา เหนือยุคมิดเซนจูรีนั้น จะไม่สามารถเป็นไปได้แล้ว
นโยบายตัดลดการปล่อยคาร์บอนได ออกไซด์ของแต่ละประเทศในปัจจุบันจะสามารถลดการปล่อยก๊าซได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นภายในปี 2050 และโลกจะร้อนขึ้นถึงระดับ 3.2 องศา เหนือยุคมิดเซนจูรี ในปี 2100 แม้แต่เป้าหมายไม่เกิน 2 องศาเองยังคงมีความยากลำบาก เนื่องจากโลกจำเป็นต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละปีลงถึง 1,500 ล้านตันทุกๆ ปี ตั้งแต่ปี 2030 ถึง 2050 หรือเท่าๆ กับปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดลงในปี 2020 ปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องล็อกดาวน์ และส่งผลให้เศรษฐกิจชะงักงัน แบบนั้นทุกๆ ปี
ไอพีซีซีแนะแนวทางในการไปสู่เป้าหมายเอาไว้ด้วย ก็คือการหาพลังงานทดแทนพลังงานจากฟอสซิลมาใช้ โดยไอพีซีซีระบุว่า หากโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน ไม่มีการดักจับก๊าซเรือนกระจกที่จะปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ การควบคุมอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศา จะเป็นไปไม่ได้เลยนอกจากนี้ยังระบุว่า หากจะจำกัดไม่ให้โลกอุณหภูมิสูงกว่าช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เกิน 2 องศาแล้วล่ะก็ โลกจะต้องไม่ใช้น้ำมันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์ ก๊าซสำรอง 50 เปอร์เซ็นต์ และถ่านหินสำรอง 80 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนไดออกไซด์แล้วก็ตาม และระบุด้วยว่าการยุติการอุดหนุนพลังงานฟอสซิลของรัฐบาลทั่วโลกจะสามารถลดการปล่อยก๊าซได้มากถึง 10 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030
ไอพีซีซีระบุอีกแนวทางเอาไว้ด้วย นั่นก็คือการ “เปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด” โดยระบุว่า โลกจะต้องเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น “ศูนย์” หรือ “เน็ตซีโร่” ให้ได้ภายในปี 2050 โดยจะต้องหันไปใช้ พลังงานไฟฟ้า และพลังงานไร้มลพิษอื่นๆ เพื่อให้เป้าหมายตามข้อตกลงปารีสยังมีความหวัง แม้ปัจจุบันโลกจะเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เช่น พลังงานลมที่เพิ่มขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์ และพลังงานแสงอาทิตย์ที่เพิ่มขึ้น 170 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างปี 2015-2019 แต่พลังงานทั้งสองส่วนก็คิดเป็นเพียง 8 เปอร์เซ็นต์ จากการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2019 เท่านั้น ขณะที่ไฟฟ้าที่ผลิตจากเทคโนโลยีที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ หรืออยู่ในระดับต่ำอย่างเช่น พลังงานน้ำ หรือนิวเคลียร์นั้น ผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนราว 37 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นเป็นไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานฟอสซิลที่สร้างก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ไอพีซีซีระบุด้วยว่า มีวิธีลดความต้องการพลังงานลงจากฝั่งผู้บริโภคได้ด้วย เช่น การกินอาหารจากพืชเป็นหลัก การใช้รถยนต์ไฟฟ้า การคมนาคมโดยไม่ใช้รถยนต์ การสื่อสารทางไกล การสร้างอาคารที่ทนต่อสภาพอากาศ ลดเที่ยวบินระยะไกล รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ 40-70 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2050 นอกจากนี้ยังรวมไปถึงวิธีการแบบกำปั้นทุบดินแต่เป็นไปได้จริง ก็คือการดูดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกป่า หรือการใช้เครื่องมือทางเคมีในการแยกคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมาย “เน็ตซีโร่” และ “ลดอุณหภูมิโลก” ลงได้ แน่นอนว่าการจะไปถึงเป้าหมายด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้ ย่อมต้องใช้งบประมาณสูง โดยไอพีซีซีระบุว่า การจะหยุดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศา ตามเป้าหมายนั้นจำเป็นต้องลงทุนในอุตสาหกรรมไฟฟ้าสูงถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 76 ล้านล้านบาทต่อปี ระหว่างปี 2023-2052 แต่หากเป้าหมายอยู่ที่ 2 องศางบประมาณจะลดลงมาอยู่ที่ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 56.9 ล้านล้านบาทต่อปี เทียบกับงบประมาณที่โลกลงทุนกับพลังงานสะอาดในปี 2021 ที่ผ่านมา ที่ 750,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว ยังคงห่างเป้าหมายอีกไกลมากๆ เลยทีเดียว นั่นเป็นเพียงตัวอย่างแนวทางอย่างเป็นรูปธรรมที่ไอพีซีซีบอกให้โลกได้รู้ เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้น และแน่นอนว่าหายนะดังกล่าว ไอพีซีซีเคยเตือนมาแล้วในรายงาน 2 ส่วนก่อนหน้านี้ เช่น น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกละลายจนหมดสิ้นอย่างน้อย 1 ครั้งในฤดูร้อน อัตราน้ำช่วยชายฝั่งเพิ่มขึ้น 2 เท่า คลื่นความร้อนจัดที่ปกติเกิดขึ้นทุก 50 ปี จะเกิดขึ้นทุก 10 ปี พายุหมุนเขตร้อนจะรุนแรงมากขึ้น ฝนและหิมะตกมากขึ้นในช่วง 1 ภาวะแห้งแล้งจะเกิดบ่อยขึ้นกว่าเดิม 1.7 เท่า และฤดูกาลไฟป่าจะยาวนานและรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าแนวทางเหล่านี้ที่ไอพีซีซีให้คำแนะนำ นอกจากจะไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ แล้ว ยังจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกๆ ประเทศทั่วโลกด้วย เวลานี้คงได้แต่หวังว่า รายงานฉบับนี้จะสามารถกระตุ้นเตือนให้โลกหันมาร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด